วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
1. ความหมายของบทร้อยกรอง
          บทร้อยกรอง หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า การอ่านทำนองเสนาะ
2. ความหมายของ การอ่านทำนองเสนาะ
          การอ่านทำนองเสนาะ คือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน (พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 528)
          บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )
3. วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ
          การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก ทำให้เห็นความงาม เห็นความไพเราะ เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรองที่เรียนกว่า อ่านแล้วฟังพริ้งเราะเสนาะโสต การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง
4. ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ
          เข้าใจว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช 1835 หลักที่ หนึ่ง บรรทัดที่ 18 – 20 ดังความว่า “…ด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่นใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน…” จากข้อความดังกล่าว ฉันทิชย์ กระเสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อน เสียงขับ คือการ้องเป็นทำนองเสนาะ ส่วน ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า เลื้อนตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า เลิ่นหมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเสียงเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่ ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า เลื้อนเป็นคำภาษาถิ่นแปลว่า อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างถึง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทยในพม่า ถือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ่นั่นเอง จากความคิดเห็นของผู้รู้ประกอบกับหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงดังกล่าว ทำให้เชื่อกันว่าการอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยเรียกเป็นภาษาไทยถิ่นว่า เลื้อน
          ที่มาหรือต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีบ่อเกิดจากการดเนินวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ที่มีความเกี่ยวกันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว
          ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะขึ้นอยู่กับคามสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ
          อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง โดยการหักเสียงให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นเสียงต่ำ หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้ เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ จึงต้องหักทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน และการกระแทกเสียงโดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง (มนตรี ตราโมท 2527 : 50 )
5. รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ
          1.1 รสถ้อย (คำพูด) แต่ละคำมีรสในคำของตัวเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย
ตัวอย่าง
          สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน           ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
 กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม       อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม        ดังดูดดื่มบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์               ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
          (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ)
1.2 รสความ (เรื่องราวที่อ่าน) ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่นเต้น โกรธ รัก เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง : บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี
                   ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก                  ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
          สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย                      แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
          เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น                 แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
          แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์         โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
                   (เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม : สุนทรภู่ )
ตัวอย่าง : บทสนุกสนาน ในนิราศพระบาทขณะมีมวยปล้ำ
                   ละครหยุดอุตลุดด้วยมวลปล้ำ                ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
          มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน                               ตั้งประจันจดจับขยับมือ
          ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด                              ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
          กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ                       คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง
                             (นิราศพระบาท: สุนทรภู่)
          1.3 รสทำนอง (ระบบเสียงสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว) ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์ ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ
                   สัตว์ พวกหนึ่งนี้ชื่อ         พหุบา ทาแฮ
          มี เอนกสมญา                       ยอกย้อน
          เท้า เกิดยิ่งจัตวา                     ควรนับ เขานอ
          มาก จวบหมิ่นแสนซ้อน             สุดพ้นประมาณฯ
                   (สัตวาภิธาน : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยากูร )
          1.4 รสคล้องจอง ในบทร้อยกรองต้องมีคำคล้องจอง ในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกันโดยเน้นสัมผัสนอกเป็นสำคัญ เช่น
                   ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง                 มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
          โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา                        ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
          ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ                          พระสรรเพชรโพริญาณประมาณหมาย
          ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย                               ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
          ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก                         สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
          ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป                            แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
                             (นิราศภูเขาทอง: สุนทรภู่)
          1.5 รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง ต่ำ ดัง - ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร เช่น
          “มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน
          “สุพรรณหงส์ทรงพูดห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
          “อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
6. หลักการอ่านทำนองเสนาะ มีดังนี้
          1. ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อนโดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น
          “สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม”        (ขน-มยุระ, ขนม-ยุระ)
          “หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา (อีก-อก-ร่อง, อี-กอ-กร่อง)
          “ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี” (จับ-เต่า-ร้าง, จับ-เต่า)
          “แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง” (เหมือน-มด, เหมือน-มด-อด)
2. อ่านออกเสียงตามธรรมดาให้คล่องก่อน
          3. อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น
                   “เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด     บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง
          หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง          ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
          เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้                     คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
          ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี              เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย
4. อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสียงสัมผัสที่ไพเราะ เช่น
          พระสมุทรสุดลึกล้น        คณนา  (อ่านว่า พระ-สะ-หมุด-สุด-ลึก-ล้น คน-นะ-นา)
          ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร

          (อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน)
          ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
(อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน)
5. ระวัง 3 ต อย่าให้ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว
          6. อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ (2-2-3)
                    “ป๊ะโทน / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโท่น           บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว
          อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป                        สะบัด / สไบ / วิไลตา
          7. อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ (รสทำนอง)
          8. ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
          9. อ่านให้เสียงดัง (พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง) ไม่ใช่ตะโกน
          10. ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ
ลหุ คือ คำที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจากนี้ถือเป็นคำครุ ( คะ-รุ ) ทั้งหมด
          ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน
          ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน
ตัวอย่าง : วสันตดิลกฉันท์ 14 มีครุ - ลหุ ดังนี้
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์ก็บอบบาง
( อ่านว่า อ้า - เพด ก้อ เพด นุ ชะ อะ นง อะ ระ อง ก้อ บอบ บาง )
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ
( อ่านว่า ควน แต่ ผะ ดุง สิ หริ สะ อาง สุ พะ ลัก ประ โลม ใจ )
11. เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น
วันจันทร์ มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชรเวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ
7. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ
1.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
2.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง (อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง)
3.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน
4.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
5.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น (ประโยชน์โดยอ้อม)
6.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป



กลวิธีการอ่านออกเสียงร้อยกรอง
          ๑.  ผู้อ่านทำนองเสนาะได้ไพเราะต้องเป็นผู้มีแก้วเสียงดี  น้ำเสียงแจ่มใส  คือ   มีเสียงใส  กังวานไม่แหบแห้งหรือแตกพร่า  เนื่องจากการอ่านเป็นเรื่องของการใช้เสียง  เมื่อจะคัดเลือกผู้อ่านเข้าแข่งขันการประกวดการอ่านทำนองเสนาะ  ผู้ที่มีเสียงดีย่อมสามารถใช้น้ำเสียงอ่านได้ไพเราะจับใจกว่าผู้ที่มีเสียงแหบแห้ง  สำหรับผู้มีน้ำเสียงไม่แจ่มใสถ้าฝึกหัดออกเสียงให้ถูกต้อง  จดจำทำนอง  ลีลา  ลักษณะฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทได้  ก็สามารถอ่านออกเสียงให้น่าฟังได้แม้ไม่ไพเราะเท่ากับคนเสียงดีแต่คนที่อ่านได้ถูกต้องก็ยังนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
          ๒.  ต้องมีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน  เช่น  ถ้าทราบว่าเป็นฉันท์ก็ต้องอ่านให้ถูกต้องตามครุ  ลหุ  ของฉันท์ชนิดนั้นๆ
          ๓.  จำทำนองเสนาะของร้อยกรองแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ  ไม่หลงทำนอง  บางคนอ่านกลอนจบแล้วต่อด้วยกาพย์แต่อาจหลงอ่านกาพย์เป็นทำนองเดียวกับกลอนอยู่เป็นต้น
          ๔.  มีสมาธิในการอ่าน  ไม่อ่านตกหล่น  อ่านผิดหรืออ่านข้าม  บางคนอ่านข้ามบรรทัด ทำให้ข้อความไม่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน
          ๕.  รักการอ่านทำนองเสนาะ  หมั่นฝึกฝนและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
          ๖.  เป็นผู้รักษาสุขภาพดี  รักษาแก้วเสียงและน้ำเสียง  ไม่นอนดึกจนเกินไป  ดื่มน้ำอุ่นเสมอ  ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  ชา  หรือกาแฟ  ไม่ตะโกนหรือกรีดร้องเสียงดังจนเกินไป
          ๗.  เป็นผู้มีบุคลิกดี  แต่งตัวสุภาพเหมาะสมกับโอกาส  เดินหรือนั่งตัวตรง  ไม่นั่งหลังค่อมหรือเดินห่อตัว  ยืนยืดอกสง่าผ่าเผย  จับหนังสือหรือบทอ่านให้มั่นคงโดยใช้แขนซ้ายหรือมือซ้ายจับหนังสือ  มือขวาช่วยพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ  ให้หนังสือห่างจากระดับสายตาประมาณ  ๑  ฟุต  หากสายตาสั้นต้องสวมแว่นตา  ไม่ควรสวมแว่นตาดำเพราะไม่สุภาพ
          ๘.  ซ้อมการอ่าน   เมื่อได้รับบทอ่านผู้อ่านจะต้องพิจารณาบทอ่านก่อนว่า  เป็นร้อยกรองประเภทใด  จำข้อบังคับ  ครุ  ลหุ  และลีลาการอ่านให้แม่นยำ  ลองฝึกอ่านในใจเพื่อจับใจความ และอารมณ์ของเรื่อง  แล้วแบ่งวรรคตอน  แบ่งช่วงการอ่านให้ถูกต้อง  เมื่ออ่านต้องให้ได้อารมณ์ตามเนื้อเรื่อง
          ๙.  ระมัดระวังการออกเสียงอักขระให้ชัดเจน  ไม่อ่านออกเสียงเลียนเสียงภาษาต่างประเทศ  ออกเสียงตัว  ร  ล  และคำควบกล้ำให้ชัดเจน  อ่านตามทำนองต้องพิจารณาด้วยว่าท้ายเสียงช่วงใดควรใช้เสียงสูง  ช่วงใดควรหลบเสียงต่ำ
          ๑๐. ศิลปะการใช้เสียง   ผู้อ่านจะต้องรู้จักการผ่อนเสียง  ทอดเสียง  หลบเสียง  เอื้อนเสียง  ครั่นเสียง  ครวญเสียง  กระแทกเสียง  ดังนี้
                   ๑๐.๑  การใช้ไมโครโฟน  ไม่จ่อปากชิดไมโครโฟนจนเกินไปจะทำให้เสียงไม่ไพเราะ  และได้ยินเสียงลมหายใจ  อาจทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ
                   ๑๐.๒  การใช้เสียง  ควรออกเสียงให้ดังพอเหมาะ  ไม่ตะโกน  หรือดัดเสียงจนไม่เป็นธรรมชาติ  รู้จักใช้จังหวะในการอ่านเหมาะสมกับอารมณ์ของเรื่องที่อ่าน  เช่น  เมื่ออ่านถึงการปลอบโยน   ต้องอ่านช้าๆ  เนิบๆ  เมื่อแสดงอารมณ์โกรธจะต้องอ่านอย่างรวดเร็วกระแทกกระทั้น  เมื่อเกิดอารมณ์อ่อนหวาน  วิงวอนงอนง้อต้องอ่านให้ช้าพอดี  น้ำเสียงละมุนละไม
                   ๑๐.๓  การทอดเสียง  เมื่ออ่านใกล้จะจบต้องอ่านทอดเสียงผ่อนจังหวะให้ช้าลง
                   ๑๐.๔  การหลบเสียง  คือการเปลี่ยนเสียงหรือหักเสียง  หลบจากเสียงสูงไปเสียงต่ำ เพื่อไม่ต้องออกเสียงที่สูงเกินไป
                   ๑๐.๕  การเอื้อนเสียง  คือการลากเสียงช้าๆ  และไว้หางเสียงเพื่อให้เข้าจังหวะและไพเราะ
                   ๑๐.๖  การครั่นเสียง  คือ  การทำเสียงให้สะดุดเมื่ออ่านถึงตอนที่สะเทือนอารมณ์
                   ๑๐.๗  การครวญเสียง  คือ  การเอื้อนเสียงให้เกิดความรู้สึกตามอารมณ์ของการคร่ำครวญ  รำพัน  วิงวอนหรือโศกเศร้า

                   ๑๐.๘  การกระแทกเสียง  คือการลงเสียงให้หนักเป็นพิเศษ  เมื่อต้องแสดงอารมณ์โกรธ  หรือแสดงความเข้มเข็ง

การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว

การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว
        การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วจะอ่านออกเสียงแบบธรรมดาเพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องราว การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วนี้ใช้กันมากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพอ่านข่าว อ่านรายงาน อ่านบทความทางวิทยุ โทรทัศน์ หรือบุคคลที่อ่านสุนทรพจน์ เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้น่าฟัง ใช้เสียงพูดธรรมดา แต่มีการเน้นถ้อยคำเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจและเข้าใจเรื่องราวที่อ่าน สามารถรับสารได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
หลักการอ่านร้อยแก้วมีดังนี้
.อ่านให้น่าฟัง ผู้อ่านจะต้องลองซ้อมอ่านโดยอ่านในใจครั้งหนึ่งก่อน เพื่อให้รู้เรื่องราวที่อ่านสามารถเข้าใจบทอ่านอย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเข้าใจความหมายของคำ ถ้อยคำ สำนวนที่อ่านเข้าใจความคิดสำคัญของเรื่องที่อ่าน จึงจะสามารถเว้นวรรคตอนการอ่านให้ถูกต้องตามเรื่องราว สามารถใช้น้ำเสียงได้น่าฟัง มีการเน้นถ้อยคำอย่างถูกต้องสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และอ่านได้อย่างคล่องแคล่วราบรื่นไม่ตะกุกตะกัก
.อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธีหรืออ่านให้ถูกต้องตามความนิยม การอ่านเป็นเรื่องของทักษะซึ่งจะต้องมีการฝึกฝนการอ่านอยู่เสมอ โดยอ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี คำบางคำอ่านตามความนิยม ผู้อ่านจะต้องทราบหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการอ่านคำต้องหมั่นสังเกตการอ่านของผู้อื่น คำใดควรอ่านอย่างไร ถ้าไม่แน่ใจควรใช้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ช่วยตัดสินการอ่าน
.อ่านให้ชัดเจน ได้แก่ อ่านออกเสียง พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ อย่างถูกต้อง เช่น การอ่านออกเสียง ร ล หรือคำควบกล้ำ ชัดเจน การอ่านไม่ชัดเจน นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าผู้อ่านขาดความระมัดระวัง แล้วยังขาดการศึกษาอีกด้วย
. อ่านมีจังหวะ แบ่งวรรคตอนให้ถูกต้อง ภาษาไทยจะต้องเว้นวรรคตอนให้ถูกที่ ผู้อ่านต้องอ่านเรื่องนั้น ๆ ให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อจะได้แบ่งวรรคตอนได้ถูกต้อง ฝึกการอ่านให้มีวรรคตอน ผู้อ่านอาจทำเครื่องหมาย / คั่นข้อความที่เว้นวรรค ถ้าผู้อ่านอ่านผิดวรรคตอนย่อมทำให้ความหมายผิดไปด้วย เช่น
ห้ามผู้หญิงนุ่งกางเกงในเวลาทำงาน
มีความหมายว่า — ในเวลาทำงานห้ามผู้หญิงนุ่งกางเกงมาทำงาน
ถ้าเว้นวรรคตอนการอ่านผิดเป็นดังนี้ ห้ามผู้หญิงนุ่งกางเกงใน / เวลาทำงาน ความหมายจะเปลี่ยนไป
. อ่านให้คล่องแคล่ว ต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่เสมอ ไม่อ่านตะกุกตะกัก อ่านให้ต่อเนื่องกัน การอ่านให้คล่องแคล่วจะต้องรู้จักกวาดสายตาในการอ่าน ดังนี้
๕.๑ การจับสายตาที่ตัวอักษร สายตาจะต้องเคลื่อนไปบนตัวอักษรบนบรรทัดจากซ้ายไปขวา โดยจับสายตาไปทีละจุด จุดละ ๔ - ๕ คำ เป็นระยะ ๆ ดังนี้
x…….x…….x…….x…….x…….x…….x…….x
๕.๓ ช่วงสายตา หมายถึง จำนวนคำที่สายตากวาดไปบนตัวหนังสือทีละจุด ควรเป็น ๔-๕ คำ
๕.๔ การอ่านย้อนกลับ บางคนอ่านแล้วต้องอ่านย้อนกลับเพื่อให้เกิดความเข้าใจ การอ่านย้อนกลับทำให้อ่านได้ช้า
          การอ่านได้คล่องแคล่วต้องฝึกอ่านโดยจับสายตาบนตัวหนังสือเป็นช่วง ๆ ดังกล่าวและต้องอ่านอย่างมีสมาธิจึงจะอ่านได้รวดเร็ว
ร้อยแก้ว  (prose)  งานเขียนประเภทร้อยแก้ว ได้แก่  งานเขียนที่ไม่มีบังคับในการแต่ง  ผู้เขียนมีอิสระในการเลือกใช้คำสำนวนโวหาร  ท่วงทำนองของการเขียน  และวิธีนำเสนอต่าง ๆ แต่กระนั้นก็ตาม ร้อยแก้วก็ยังมีลักษณะเฉพาะบางประการที่จำแนกชนิดของงานเขียนร้อยแก้ว ดังนี้
            ๑. นวนิยาย (novel)  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒)  ได้ให้นิยามของนวนิยายไว้ว่า  "เรื่องยาวที่แต่งขึ้นเป็นแบบร้อยแก้วจากชีวิตจริง นิทานพื้นบ้านพื้นเมือง  จินตนาการ หรือประสบการณ์ เป็นต้น"  นอกจากความหมาย กว้าง ๆ ดังกล่าวแล้ว  สมพร  มันตะสูตร (การอ่านทั่วไป.  ๒๕๓๔.  น. ๖๘)  ยังได้กล่าวถึงองค์ประกอบเฉพาะของนวนิยายไว้ว่า  อย่างน้อยที่สุด น่าจะมี ๘ ประการ คือ
    ๑)  โครงเรื่อง
    ๒)  แก่นเรื่อง
    ๓)  บทสนทนา
    ๔)  ฉากหรือบรรยากาศ
    ๕)  ทัศนคติของผู้แต่ง
    ๖)  ท่วงทำนองการแต่ง
    ๗)  ตัวละคร
    ๘)  กลวิธีในการแต่งและกลวิธีในการเสนอเรื่อง
            ๒.  เรื่องสั้น  (short  story)  งานเขียนประเภทเรื่องสั้นมีลักษณะคล้ายกับนวนิยายแต่สั้นกว่า  ประภาศรี  สิหอำไพ (การเขียนแบบสร้างสรรค์. ๒๕๓๑. น.๙๒)  กล่าวถึงเรื่องสั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า  "เรื่องสั้น คือ วิกฤตการณ์ที่มีเหตุสัมพันธ์ต่อเนื่องไปสู่ผล  ซึ่งเรียกว่า  จุดสุดยอดของเรื่องมีลักษณะการดำเนินเรื่องที่มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว  มีผลอย่างเดียว  ใช้เวลาใสการเดินเรื่องสั้นรวดเร็ว  มีทั้งเรื่องสั้นขนาดยาว  และเรื่องยาวขนาดสั้น  มีโครงเรื่อง  ตัวละคร  ฉาก  และบทสนทนาที่รัดกุม กระชับ ไม่มีรายละเอียดมากนัก"
            ๓.  สารคดี  (non - fiction)  คือ  งานเขียนที่เขียนขึ้นจากความจริง  ไม่ใช่จินตนาการ นอกจากนี้  สนิท  ตั้งทวี  (อ่านไทย. ๒๕๒๖. น.๑๙)  ยังได้กล่าวไว้เป็นเชิงขยายความอีก่วา  "หมายถึง  งานเขียนที่ผู้แต่งเจตนาให้สาระความรู้เป็นสำคัญ  และให้ความเพลิดเพลินเป็นอันดับรองลงมา  เนื้อหาในสารคดีนั้นผู้เขียนจะเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับข้อเท็จจริง (fact) ด้วยการใช้ภาษาร้อยแก้วที่สละสลวยชวนให้อ่าน  สารคดีแบ่งออกเป็น สารคดีท่องเที่ยว  สารคดีชีวประวัติ  และสารคดีอัตชีวประวัติ  สารคดีวิชาการ  บทความ  จดหมายเหตุ  บันทึก  อนุทิน  บทปาฐกถา  บทบรรยาย  บทสัมภาษณ์  บทวิจารร์  นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิง (reference) สารานุกรม พจนานุกรม  นามานุกรม  หรืออภิธานต่าง ๆ  มักจัดแยกไว้จากสารคดี  แต่โดยหลักการใหญ่แล้ว  ก็เป็นประเภทให้ความรู้  เป็นสารคดีนั่นเอง"
            ๔.  ข่าว  (news)  คือ  งานเขียนที่มีลักษณะเรียบเรียงรายงานเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริง  เปลื้อง  ณ  นคร  ได้กล่าวไว้ว่า  "ตามปรกติการเสนอข่าวแบ่งออกเป็นสองแบบ  คือ  ๑) เสนอเนื้อข่าวแท้    (news item) คือ เสนอแต่เฉพาะเนื้อหาของข่าว เลือกเอาแต่เฉพาะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์แต่ประการใด  ๒) เสนอข่าวเรื่อง  (news story)  ในการเสนอข่าวแบบนี้หนังสือพิมพ์ต้องการให้ผู้อ่านสนุกขบขัน ตื่นเต้น หรือสลดใจในข่าวที่เกิดขึ้น  คือ  ต้องการแต่งข่าวให้เป็นเรื่องราว  แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องอ่านเล่น  กล่าวคือ  ต้องมีความจริงเป็นสิ่งสำคัญ" 

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
การอ่านออกเสียงร้อยกรอง เป็นการอ่านที่มุ่งให้เกิดความเพลิดเพลินซาบซึ้งในรสของคำประพันธ์ ซึ่งจะต้องอ่านอย่างมีจังหวะ ลีลา และท่วงทำนองตามลักษณะคำประพันธ์เเต่ละชนิด
การอ่านบทร้อยกรอง อ่านได้ ๒ แบบ ดังนี้
๑.  อ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูด ตามปกติเหมือนกับอ่านร้อยแก้ว แต่มีจังหวะวรรคตอน
๒.  อ่านเป็นทำนองเสนาะ เป็นการอ่านมีสำเนียงสูง ต่ำ หนัก เบา ยาว สั้นเป็นทำนองเหมือนเสียงดนตรี มีการเอื้อนเสียง เน้นสัมผัส ตามจังหวะ ลีลาและท่วงทำนองตามลักษณะบังคับของบทประพันธ์ให้ชัดเจนเเละเหมาะสม
หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสียงร้อยกรอง
๑.  ศึกษาลักษณะบังคับของคำประพันธ์ เช่น การเเบ่งจังหวะจำนวนคำสัมผัสเสียง วรรณยุกต์ เสียงหนักเบา เป็นต้น
๒.  อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์
๓.  อ่านออกเสียง ร ล คำควบกล้ำให้ชัดเจน
๔.  อ่านออกเสียงดังให้ผู้ฟังได้ยินทั่วถึง ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป
๕.  คำที่รับสัมผัสกันต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดเจน ถ้าเป็นสัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาวกว่าธรรมดา
๖.  มีศิลปะในการใช้เสียง เอื้อนเสียง และทอดจังหวะให้ช้าจนจบบท
ข้อควรคำนึงในการอ่านบทร้อยกรอง
การอ่านบทร้อยกรอง หรือทำนองเสนาะ ให้ไพเราะและประทับใจผู้ฟังมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
๑.  ก่อนอ่านทำนองเสนาะควรรักษาสุขภาพให้ดี มีความพร้อมทั้งกายและใจ จะช่วยให้มั่นใจมากขึ้น
๒.  ตั้งสติให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว ตื่นเต้น ตกใจ หรือประหม่า ควรมีสมาธิก่อนอ่านเเละขณะกำลังอ่าน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
๓.  ก่อนอ่านควรตรวจดูบทอ่านอย่างคร่าวๆ และรวดเร็วเพื่อพิจารณาคำยาก หรือการผัวรรณยุกต์ และอื่นๆ
๔.  พิจารณาบทที่จะอ่าน เพื่อตัดสินใจ เลือกใส่อารมณ์ในบทอ่านให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อความ
๕.  หมั่นศึกษาและฝึกฝนการอ่านทำนองเสนาะจากผู้รู้เกี่ยวกับกลวิธีต่างๆอยู่เสมอ จึงจะทำให้สามารถอ่านทำนองเสนาะได้อย่างไพเราะ
คุณค่าของการอ่านทำนองเสนาะ
๑.  ผู้ฟังเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
๒.  ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง
๓.  เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
๔.  จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วเเม่นยำ
๕.  ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยน
๖.  ช่วยสืบทอดวัฒนธรรมในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกของชาติ
วิธีการอ่านทำนองเสนาะจากคำประพันธ์
กลอนสุภาพ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค และเสียงต่ำ ๒ วรรค
การเเบ่งจังหวะวรรคในการอ่าน มีดังนี้ 
     วรรคละ ๖ คำ อ่าน    ๒/๒/๒    OO/OO/OO
     วรรคละ ๗ คำ อ่าน    ๒/๒/๓    OO/OO/OOO
     วรรคละ ๘ คำ อ่าน    ๓/๒/๓    OOO/OO/OOO
     วรคคละ ๙ คำ อ่าน    ๓/๓/๓    OOO/OOO/OOO
ตัวอย่าง
การเเบ่งจังหวะวรรคละ ๖ คำ
      ไผ่ซอ/อ้อเสียด/เบียดออด//         ลมลอด/ไล่เลี้ยว/เยวไผ่//
      ออดเเอด/แอดออด/ยอดไกว//      แพใบ/ไล้น้ำ/ลำคลอง//
การเเบ่งจังหวะวรรคละ ๘ คำ
      เเล้วสอนว่า/อย่าไว้/ใจมนุษย์         มันเเสนสุด/ลึกล้ำ/เหลือกำหนด
      ถึงเถาวัลย?/พันเกี่ยว/ที่เลี้ยวลด//   ก็ไม่คด/เหมือนหนึ่งใน/น้ำใจคน//

กาพย์ยานี ๑๑ มีจำนวนคำ ๑๑ คำ นิยมอ่านเสียงสูงกว่าปกติจึงจะเกิดความไพเราะ
การเเบ่งจังหวะวรรดในการอ่าน มีดังนี้
      วรรคหน้า ๕ คำ อ่าน     ๒/๓     OO/OOO
      วรรคหลัง ๖ คำ อ่าน     ๓/๓     OOO/OOO
ตัวอย่าง การเเบ่งจังหวะกาพย์ยานี ๑๑
              เรื่อยเรื่อย/มารอนรอน//           ทิพากร/จะตกต่ำ//
      สนธยา/จะใกล้ค่ำ//                          คำนึงหน้า/เจ้าตราตรู
              เรื่อยเรื่อย/มาเรียงเรียง//          นกบินเฉียง/ไปทั้งหมู่//
      ตัวเดียว/มาพลัดคู่//                          เหมือนพี่อยู่/ผู้เดียวดาย//
การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ
          คือ การอ่านอย่างคร่าวๆ
 (Skimming) เป็นวิธีการอ่านที่ผู้อ่านมุ่งหวังที่จะทราบรายละเอียดของเนื้อเรื่องหรือข้อความที่อ่าน
โดยการกวาดสายตาหาหัวเรื่องที่เราสนใจและจะค้นหาเฉพาะแนวความคิดหลักเท่านั้น
การอ่านแบบนี้ จะอ่านข้ามเป็นตอนๆ และอาจข้ามบางประโยคหรือบางบรรทัดไป
คือไม่อ่านทุกคำแต่มองหาประเด็นหรือใจความสำคัญ
 (main idea) หรือหาคำสำคัญของเรื่อง (key
words) โดยผู้เชี่ยวชาญบางท่านได้กล่าวไว้ว่าเป็นการอ่านด้วยนิ้ว
(reading with fingers) การอ่านประเภทนี้มักจะใช้กับการอ่านบทความ
หนังสือพิมพ์ นิตยสาร นวนิยาย สำหรับจุดมุ่งหมายของการอ่าน เพื่อหาประเด็นหรือใจความสำคัญโดยทั่วไป
 
เพื่อเก็บรายละเอียดที่สำคัญบางอย่างเท่านั้น
การอ่านวิธีนี้จะไม่อ่านทุกคำหรือทุกประโยค
แต่จะจับเฉพาะสำคัญ
 (key word) ที่บอกว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไรเท่านั้น
ซึ่งหลักปฏิบัติในการอ่าน สรุปได้ดังนี้
๑. อ่านสองหรือสามคำแรกและ/หรือสองหรือสามคำสุดท้ายในแต่ละประโยคคือการอ่านข้ามสิ่งที่คิดว่าไม่มีความสำคัญในประโยค
จะเข้าใจประโยคนั้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสลับซับซ้อนและโครงสร้างของประโยคเป็นสำคัญ
๒. การพรีวิว
 (Preview) คือความสามารถที่จะคิดและคาดการณ์เห็นแนวคิดบางอย่างได้ล่วงหน้าก่อการอ่านจริงการพรีวิวช่วยให้จับประเด็นได้เร็วขึ้นและช่วยให้อ่านข้ามข้อความโดยไม่เสียอรรถรสวิธีอ่านคือ อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้าอย่างเร็วก่อนแล้วจึงไปอ่านซ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บใจความสำคัญต่อไปซึ่งอ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญในแต่ละย่อหน้าเท่านั้น
๓. อ่านส่วนแรกของประโยคเร็วๆ วิธีนี้ จะไม่อ่านจนจบประโยค แต่จะกวาดสายตามองผ่านๆแล้วเริ่มต้นอ่านประโยคใหม่ ทำเรื่อยๆจนจบประโยคที่ต้องการจะอ่านขณะอ่านสายตาจะจับอยู่ที่ทางด้านซ้ายมือของประโยคตลอดเวลาคืออ่านข้อความแค่หนึ่งในสามของประโยคเท่านั้น
๔.อ่านเฉพาะส่วนกลางของหน้าหนังสือ สายตาจะจับเฉพาะตอนกลางของหนังสือเท่านั้นและอ่านเกือบทุกประโยคด้วย
๕.อ่านแต่เฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ โดยที่สำคัญอาจเป็นตัวเอนหรือมีตัวเลขกำกับอยู่ในเครื่องหมายคำพูดก็ได้
บางครั้งอาจขึ้นต้นด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่หรือขีดเส้นใต้ไว้ก็ได้อาจเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งใยบรรดาที่กล่าวมาทั้งหมดก็ได้

(. อ่าน Topic Sentence ซึ่งก็คือ ประโยคที่บรรจุหัวเรื่องและใจความสำคัญไว้ โดย Topic Sentence
มักจะวางอยู่ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของข้อความ และส่วนน้อยที่อยู่ตอนกลางของเรื่อง และบางข้อความไม่มี
 Topic Sentence ผู้อ่านต้องสรุปเอาเองจากเนื้อเรื่องในบทความนั้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมด 5 ข้อ ยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ
 Topic Sentence ซึ่งก็คือ
ประโยคที่บรรจุหัวเรื่องและใจความสำคัญไว้โดย
 Topic Sentence มักจะวางอยู่ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของข้อความและส่วนน้อยที่อยู่ตอนกลางของเรื่อง และบางข้อความไม่มี Topic
Sentence ผู้อ่านต้องสรุปเอาเองจากเนื้อเรื่องในบทความนั้น
สรุปขั้นตอนโดยย่อ คือ
อ่านหัวเรื่อง – ถ้ามี
อ่านย่อหน้าแรกอย่ารวดเร็ว
เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่อง
 ( main idea )
๓. อ่านประโยคแรกทุกย่อหน้าที่เหลือ
เพื่อจับใจความสำคัญของย่อหน้านั้น
๔. อ่านย่อหน้าสุดท้ายอย่างรวดเร็ว
๕. เพ่งเล็งลักษณะตัวพิมพ์พิเศษ เช่น ตัวเอน ตัวหนา ดาว ฯลฯ
ให้ดี เพราะมัน จะบอกให้รู้ถึงการเน้นย้ำใจความสำคัญ

หีบมากมายหลายหีบ...ยกหีบหนี
หีบมากมีหนีหีบ...หนีบหนีหาย
เห็นหนีหีบ...หนีบหนีกันมากมาย
เห็นหีบหายหลายหีบ...หนีบหนีเอย