การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
1.
ความหมายของบทร้อยกรอง
บทร้อยกรอง
หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง
ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา
ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า “การอ่านทำนองเสนาะ”
2.
ความหมายของ “การอ่านทำนองเสนาะ”
การอ่านทำนองเสนาะ
คือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์
กลอน (พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 528)
บางคนให้ความหมายว่า
การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ
ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )
3.
วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ
การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง
ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก – ทำให้เห็นความงาม – เห็นความไพเราะ – เห็นภาพพจน์
ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรองที่เรียนกว่า
อ่านแล้วฟังพริ้งเราะเสนาะโสต
การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง
4.
ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ
เข้าใจว่า
การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย
เท่าที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช 1835 หลักที่ หนึ่ง บรรทัดที่ 18 – 20 ดังความว่า “…ด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น
เล่นใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน…” จากข้อความดังกล่าว
ฉันทิชย์ กระเสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อน เสียงขับ คือการ้องเป็นทำนองเสนาะ ส่วน
ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า เลื้อนตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า “เลิ่น”
หมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเสียงเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่
ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า “เลื้อน” เป็นคำภาษาถิ่นแปลว่า
อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างถึง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า
คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทยในพม่า ถือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ่นั่นเอง
จากความคิดเห็นของผู้รู้ประกอบกับหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงดังกล่าว
ทำให้เชื่อกันว่าการอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว
โดยเรียกเป็นภาษาไทยถิ่นว่า “เลื้อน”
ที่มาหรือต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า
น่าจะมีบ่อเกิดจากการดเนินวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน
ที่มีความเกี่ยวกันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า
คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ
ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย
ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว
ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ
ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว
ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะขึ้นอยู่กับคามสามารถของผู้อ่าน
และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ
อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก
วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ
เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง
โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง
โดยการหักเสียงให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นเสียงต่ำ
หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง
เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้ เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ
จึงต้องหักทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน
และการกระแทกเสียงโดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง
(มนตรี ตราโมท 2527 : 50 )
5.
รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ
1.1 รสถ้อย (คำพูด) แต่ละคำมีรสในคำของตัวเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย
ตัวอย่าง
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน
ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
(พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ)
1.2 รสความ (เรื่องราวที่อ่าน)
ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่นเต้น โกรธ รัก
เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง
: บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก
ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
(เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม : สุนทรภู่ )
ตัวอย่าง
: บทสนุกสนาน ในนิราศพระบาทขณะมีมวยปล้ำ
ละครหยุดอุตลุดด้วยมวลปล้ำ
ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับขยับมือ
ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับขยับมือ
ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง
(นิราศพระบาท: สุนทรภู่)
1.3 รสทำนอง (ระบบเสียงสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว)
ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์
ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น
ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ
สัตว์
พวกหนึ่งนี้ชื่อ พหุบา ทาแฮ
มี เอนกสมญา ยอกย้อน
เท้า เกิดยิ่งจัตวา ควรนับ เขานอ
มาก จวบหมิ่นแสนซ้อน สุดพ้นประมาณฯ
มี เอนกสมญา ยอกย้อน
เท้า เกิดยิ่งจัตวา ควรนับ เขานอ
มาก จวบหมิ่นแสนซ้อน สุดพ้นประมาณฯ
(สัตวาภิธาน : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยากูร )
1.4 รสคล้องจอง ในบทร้อยกรองต้องมีคำคล้องจอง ในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกันโดยเน้นสัมผัสนอกเป็นสำคัญ
เช่น
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชรโพริญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชรโพริญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
(นิราศภูเขาทอง: สุนทรภู่)
1.5 รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ
ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง – ต่ำ ดัง - ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร
เช่น
“มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน
“สุพรรณหงส์ทรงพูดห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์”
“อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา”
“สุพรรณหงส์ทรงพูดห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์”
“อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา”
6. หลักการอ่านทำนองเสนาะ
มีดังนี้
1.
ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อนโดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย
เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น
“สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม” (ขน-มยุระ, ขนม-ยุระ)
“หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา (อีก-อก-ร่อง, อี-กอ-กร่อง)
“ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี” (จับ-เต่า-ร้าง, จับ-เต่า)
“แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง” (เหมือน-มด, เหมือน-มด-อด)
“หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา (อีก-อก-ร่อง, อี-กอ-กร่อง)
“ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี” (จับ-เต่า-ร้าง, จับ-เต่า)
“แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง” (เหมือน-มด, เหมือน-มด-อด)
2. อ่านออกเสียงตามธรรมดาให้คล่องก่อน
3.
อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น
“เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง
หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย”
หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย”
4.
อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสียงสัมผัสที่ไพเราะ
เช่น
พระสมุทรสุดลึกล้น
คณนา (อ่านว่า
พระ-สะ-หมุด-สุด-ลึก-ล้น คน-นะ-นา)
ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร
(อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน)
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ (อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน)
ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร
(อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน)
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ (อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน)
5. ระวัง 3 ต อย่าให้ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว
6.
อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีจังหวะแตกต่างกัน
ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ (2-2-3)
“ป๊ะโทน / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโท่น
บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว
อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไบ / วิไลตา
อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไบ / วิไลตา
7.
อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ (รสทำนอง)
8.
ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น
ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
9.
อ่านให้เสียงดัง (พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง) ไม่ใช่ตะโกน
10.
ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น
ๆ
ลหุ
คือ คำที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น
ก็ บ่อ นอกจากนี้ถือเป็นคำครุ ( คะ-รุ ) ทั้งหมด
ลหุ
ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน
ครุ
ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน
ตัวอย่าง
: วสันตดิลกฉันท์ 14 มีครุ - ลหุ ดังนี้
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์
อรองค์ก็บอบบาง
(
อ่านว่า อ้า - เพด – ก้อ – เพด – นุ – ชะ – อะ – นง อะ – ระ – อง – ก้อ – บอบ – บาง )
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง
ศุภลักษณ์ประโลมใจ
(
อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ –
ดุง – สิ – หริ –
สะ – อาง สุ – พะ –
ลัก – ประ – โลม –
ใจ )
11.
เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น
“วันจันทร์ มีดารากร
เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชร” เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ
7.
ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ
1.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
2.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง (อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง)
3.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน
4.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
5.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น (ประโยชน์โดยอ้อม)
6.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป
กลวิธีการอ่านออกเสียงร้อยกรอง
๑.
ผู้อ่านทำนองเสนาะได้ไพเราะต้องเป็นผู้มีแก้วเสียงดี น้ำเสียงแจ่มใส คือ
มีเสียงใส
กังวานไม่แหบแห้งหรือแตกพร่า
เนื่องจากการอ่านเป็นเรื่องของการใช้เสียง
เมื่อจะคัดเลือกผู้อ่านเข้าแข่งขันการประกวดการอ่านทำนองเสนาะ
ผู้ที่มีเสียงดีย่อมสามารถใช้น้ำเสียงอ่านได้ไพเราะจับใจกว่าผู้ที่มีเสียงแหบแห้ง สำหรับผู้มีน้ำเสียงไม่แจ่มใสถ้าฝึกหัดออกเสียงให้ถูกต้อง จดจำทำนอง
ลีลา
ลักษณะฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทได้
ก็สามารถอ่านออกเสียงให้น่าฟังได้แม้ไม่ไพเราะเท่ากับคนเสียงดีแต่คนที่อ่านได้ถูกต้องก็ยังนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
๒.
ต้องมีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน เช่น
ถ้าทราบว่าเป็นฉันท์ก็ต้องอ่านให้ถูกต้องตามครุ ลหุ
ของฉันท์ชนิดนั้นๆ
๓.
จำทำนองเสนาะของร้อยกรองแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ ไม่หลงทำนอง
บางคนอ่านกลอนจบแล้วต่อด้วยกาพย์แต่อาจหลงอ่านกาพย์เป็นทำนองเดียวกับกลอนอยู่เป็นต้น
๔. มีสมาธิในการอ่าน ไม่อ่านตกหล่น
อ่านผิดหรืออ่านข้าม
บางคนอ่านข้ามบรรทัด ทำให้ข้อความไม่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน
๕. รักการอ่านทำนองเสนาะ หมั่นฝึกฝนและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
๖. เป็นผู้รักษาสุขภาพดี รักษาแก้วเสียงและน้ำเสียง ไม่นอนดึกจนเกินไป ดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา
หรือกาแฟ
ไม่ตะโกนหรือกรีดร้องเสียงดังจนเกินไป
๗. เป็นผู้มีบุคลิกดี แต่งตัวสุภาพเหมาะสมกับโอกาส เดินหรือนั่งตัวตรง ไม่นั่งหลังค่อมหรือเดินห่อตัว ยืนยืดอกสง่าผ่าเผย
จับหนังสือหรือบทอ่านให้มั่นคงโดยใช้แขนซ้ายหรือมือซ้ายจับหนังสือ มือขวาช่วยพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ ให้หนังสือห่างจากระดับสายตาประมาณ ๑ ฟุต หากสายตาสั้นต้องสวมแว่นตา ไม่ควรสวมแว่นตาดำเพราะไม่สุภาพ
๘. ซ้อมการอ่าน
เมื่อได้รับบทอ่านผู้อ่านจะต้องพิจารณาบทอ่านก่อนว่า เป็นร้อยกรองประเภทใด จำข้อบังคับ
ครุ ลหุ และลีลาการอ่านให้แม่นยำ ลองฝึกอ่านในใจเพื่อจับใจความ
และอารมณ์ของเรื่อง แล้วแบ่งวรรคตอน แบ่งช่วงการอ่านให้ถูกต้อง เมื่ออ่านต้องให้ได้อารมณ์ตามเนื้อเรื่อง
๙. ระมัดระวังการออกเสียงอักขระให้ชัดเจน ไม่อ่านออกเสียงเลียนเสียงภาษาต่างประเทศ ออกเสียงตัว
ร ล และคำควบกล้ำให้ชัดเจน
อ่านตามทำนองต้องพิจารณาด้วยว่าท้ายเสียงช่วงใดควรใช้เสียงสูง ช่วงใดควรหลบเสียงต่ำ
๑๐.
ศิลปะการใช้เสียง
ผู้อ่านจะต้องรู้จักการผ่อนเสียง
ทอดเสียง หลบเสียง เอื้อนเสียง
ครั่นเสียง ครวญเสียง กระแทกเสียง
ดังนี้
๑๐.๑ การใช้ไมโครโฟน
ไม่จ่อปากชิดไมโครโฟนจนเกินไปจะทำให้เสียงไม่ไพเราะ และได้ยินเสียงลมหายใจ อาจทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ
๑๐.๒ การใช้เสียง
ควรออกเสียงให้ดังพอเหมาะ
ไม่ตะโกน
หรือดัดเสียงจนไม่เป็นธรรมชาติ
รู้จักใช้จังหวะในการอ่านเหมาะสมกับอารมณ์ของเรื่องที่อ่าน เช่น
เมื่ออ่านถึงการปลอบโยน
ต้องอ่านช้าๆ เนิบๆ เมื่อแสดงอารมณ์โกรธจะต้องอ่านอย่างรวดเร็วกระแทกกระทั้น เมื่อเกิดอารมณ์อ่อนหวาน วิงวอนงอนง้อต้องอ่านให้ช้าพอดี น้ำเสียงละมุนละไม
๑๐.๓ การทอดเสียง
เมื่ออ่านใกล้จะจบต้องอ่านทอดเสียงผ่อนจังหวะให้ช้าลง
๑๐.๔ การหลบเสียง
คือการเปลี่ยนเสียงหรือหักเสียง
หลบจากเสียงสูงไปเสียงต่ำ เพื่อไม่ต้องออกเสียงที่สูงเกินไป
๑๐.๕ การเอื้อนเสียง คือการลากเสียงช้าๆ และไว้หางเสียงเพื่อให้เข้าจังหวะและไพเราะ
๑๐.๖ การครั่นเสียง
คือ
การทำเสียงให้สะดุดเมื่ออ่านถึงตอนที่สะเทือนอารมณ์
๑๐.๗ การครวญเสียง
คือ การเอื้อนเสียงให้เกิดความรู้สึกตามอารมณ์ของการคร่ำครวญ รำพัน
วิงวอนหรือโศกเศร้า
๑๐.๘ การกระแทกเสียง คือการลงเสียงให้หนักเป็นพิเศษ เมื่อต้องแสดงอารมณ์โกรธ หรือแสดงความเข้มเข็ง
ณัฐริกา ประภาสัย 5/3
ตอบลบนางสาวกนกวรรณ ศรีวินัย ม.๕/๓ เลขที่ ๘
ตอบลบนางสาวชลิตา อิ่มเต็ม ม.๕/๓ เลขที่ ๑๖
ตอบลบนางสาวปิรัตดาพร สายทอง ชั้นม.5/3 เลขที่ 9
ตอบลบนางสาว สุกัญญา โคษาราช เลขที่10 ม.5/3
ตอบลบ