วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง

การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
1. ความหมายของบทร้อยกรอง
          บทร้อยกรอง หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า การอ่านทำนองเสนาะ
2. ความหมายของ การอ่านทำนองเสนาะ
          การอ่านทำนองเสนาะ คือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน (พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 528)
          บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )
3. วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ
          การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก ทำให้เห็นความงาม เห็นความไพเราะ เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรองที่เรียนกว่า อ่านแล้วฟังพริ้งเราะเสนาะโสต การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง
4. ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ
          เข้าใจว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช 1835 หลักที่ หนึ่ง บรรทัดที่ 18 – 20 ดังความว่า “…ด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่นใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน…” จากข้อความดังกล่าว ฉันทิชย์ กระเสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อน เสียงขับ คือการ้องเป็นทำนองเสนาะ ส่วน ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า เลื้อนตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า เลิ่นหมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเสียงเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่ ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า เลื้อนเป็นคำภาษาถิ่นแปลว่า อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างถึง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทยในพม่า ถือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ่นั่นเอง จากความคิดเห็นของผู้รู้ประกอบกับหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงดังกล่าว ทำให้เชื่อกันว่าการอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยเรียกเป็นภาษาไทยถิ่นว่า เลื้อน
          ที่มาหรือต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีบ่อเกิดจากการดเนินวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ที่มีความเกี่ยวกันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว
          ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะขึ้นอยู่กับคามสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ
          อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง โดยการหักเสียงให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นเสียงต่ำ หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้ เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ จึงต้องหักทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน และการกระแทกเสียงโดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง (มนตรี ตราโมท 2527 : 50 )
5. รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ
          1.1 รสถ้อย (คำพูด) แต่ละคำมีรสในคำของตัวเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย
ตัวอย่าง
          สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน           ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
 กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม       อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม        ดังดูดดื่มบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์               ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
          (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ)
1.2 รสความ (เรื่องราวที่อ่าน) ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่นเต้น โกรธ รัก เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง : บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี
                   ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก                  ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
          สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย                      แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
          เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น                 แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
          แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์         โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
                   (เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม : สุนทรภู่ )
ตัวอย่าง : บทสนุกสนาน ในนิราศพระบาทขณะมีมวยปล้ำ
                   ละครหยุดอุตลุดด้วยมวลปล้ำ                ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน
          มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน                               ตั้งประจันจดจับขยับมือ
          ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด                              ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ
          กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ                       คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง
                             (นิราศพระบาท: สุนทรภู่)
          1.3 รสทำนอง (ระบบเสียงสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว) ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์ ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ
                   สัตว์ พวกหนึ่งนี้ชื่อ         พหุบา ทาแฮ
          มี เอนกสมญา                       ยอกย้อน
          เท้า เกิดยิ่งจัตวา                     ควรนับ เขานอ
          มาก จวบหมิ่นแสนซ้อน             สุดพ้นประมาณฯ
                   (สัตวาภิธาน : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยากูร )
          1.4 รสคล้องจอง ในบทร้อยกรองต้องมีคำคล้องจอง ในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกันโดยเน้นสัมผัสนอกเป็นสำคัญ เช่น
                   ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง                 มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
          โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา                        ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
          ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ                          พระสรรเพชรโพริญาณประมาณหมาย
          ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย                               ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
          ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก                         สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
          ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป                            แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
                             (นิราศภูเขาทอง: สุนทรภู่)
          1.5 รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง ต่ำ ดัง - ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร เช่น
          “มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน
          “สุพรรณหงส์ทรงพูดห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
          “อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
6. หลักการอ่านทำนองเสนาะ มีดังนี้
          1. ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อนโดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น
          “สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม”        (ขน-มยุระ, ขนม-ยุระ)
          “หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา (อีก-อก-ร่อง, อี-กอ-กร่อง)
          “ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี” (จับ-เต่า-ร้าง, จับ-เต่า)
          “แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง” (เหมือน-มด, เหมือน-มด-อด)
2. อ่านออกเสียงตามธรรมดาให้คล่องก่อน
          3. อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น
                   “เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด     บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง
          หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง          ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
          เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้                     คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
          ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี              เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย
4. อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสียงสัมผัสที่ไพเราะ เช่น
          พระสมุทรสุดลึกล้น        คณนา  (อ่านว่า พระ-สะ-หมุด-สุด-ลึก-ล้น คน-นะ-นา)
          ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร

          (อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน)
          ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
(อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน)
5. ระวัง 3 ต อย่าให้ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว
          6. อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ (2-2-3)
                    “ป๊ะโทน / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโท่น           บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว
          อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป                        สะบัด / สไบ / วิไลตา
          7. อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ (รสทำนอง)
          8. ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
          9. อ่านให้เสียงดัง (พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง) ไม่ใช่ตะโกน
          10. ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ
ลหุ คือ คำที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจากนี้ถือเป็นคำครุ ( คะ-รุ ) ทั้งหมด
          ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน
          ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน
ตัวอย่าง : วสันตดิลกฉันท์ 14 มีครุ - ลหุ ดังนี้
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์ก็บอบบาง
( อ่านว่า อ้า - เพด ก้อ เพด นุ ชะ อะ นง อะ ระ อง ก้อ บอบ บาง )
ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ
( อ่านว่า ควน แต่ ผะ ดุง สิ หริ สะ อาง สุ พะ ลัก ประ โลม ใจ )
11. เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น
วันจันทร์ มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชรเวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ
7. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ
1.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
2.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง (อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง)
3.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน
4.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
5.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น (ประโยชน์โดยอ้อม)
6.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป



กลวิธีการอ่านออกเสียงร้อยกรอง
          ๑.  ผู้อ่านทำนองเสนาะได้ไพเราะต้องเป็นผู้มีแก้วเสียงดี  น้ำเสียงแจ่มใส  คือ   มีเสียงใส  กังวานไม่แหบแห้งหรือแตกพร่า  เนื่องจากการอ่านเป็นเรื่องของการใช้เสียง  เมื่อจะคัดเลือกผู้อ่านเข้าแข่งขันการประกวดการอ่านทำนองเสนาะ  ผู้ที่มีเสียงดีย่อมสามารถใช้น้ำเสียงอ่านได้ไพเราะจับใจกว่าผู้ที่มีเสียงแหบแห้ง  สำหรับผู้มีน้ำเสียงไม่แจ่มใสถ้าฝึกหัดออกเสียงให้ถูกต้อง  จดจำทำนอง  ลีลา  ลักษณะฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทได้  ก็สามารถอ่านออกเสียงให้น่าฟังได้แม้ไม่ไพเราะเท่ากับคนเสียงดีแต่คนที่อ่านได้ถูกต้องก็ยังนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
          ๒.  ต้องมีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน  เช่น  ถ้าทราบว่าเป็นฉันท์ก็ต้องอ่านให้ถูกต้องตามครุ  ลหุ  ของฉันท์ชนิดนั้นๆ
          ๓.  จำทำนองเสนาะของร้อยกรองแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ  ไม่หลงทำนอง  บางคนอ่านกลอนจบแล้วต่อด้วยกาพย์แต่อาจหลงอ่านกาพย์เป็นทำนองเดียวกับกลอนอยู่เป็นต้น
          ๔.  มีสมาธิในการอ่าน  ไม่อ่านตกหล่น  อ่านผิดหรืออ่านข้าม  บางคนอ่านข้ามบรรทัด ทำให้ข้อความไม่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน
          ๕.  รักการอ่านทำนองเสนาะ  หมั่นฝึกฝนและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
          ๖.  เป็นผู้รักษาสุขภาพดี  รักษาแก้วเสียงและน้ำเสียง  ไม่นอนดึกจนเกินไป  ดื่มน้ำอุ่นเสมอ  ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  ชา  หรือกาแฟ  ไม่ตะโกนหรือกรีดร้องเสียงดังจนเกินไป
          ๗.  เป็นผู้มีบุคลิกดี  แต่งตัวสุภาพเหมาะสมกับโอกาส  เดินหรือนั่งตัวตรง  ไม่นั่งหลังค่อมหรือเดินห่อตัว  ยืนยืดอกสง่าผ่าเผย  จับหนังสือหรือบทอ่านให้มั่นคงโดยใช้แขนซ้ายหรือมือซ้ายจับหนังสือ  มือขวาช่วยพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ  ให้หนังสือห่างจากระดับสายตาประมาณ  ๑  ฟุต  หากสายตาสั้นต้องสวมแว่นตา  ไม่ควรสวมแว่นตาดำเพราะไม่สุภาพ
          ๘.  ซ้อมการอ่าน   เมื่อได้รับบทอ่านผู้อ่านจะต้องพิจารณาบทอ่านก่อนว่า  เป็นร้อยกรองประเภทใด  จำข้อบังคับ  ครุ  ลหุ  และลีลาการอ่านให้แม่นยำ  ลองฝึกอ่านในใจเพื่อจับใจความ และอารมณ์ของเรื่อง  แล้วแบ่งวรรคตอน  แบ่งช่วงการอ่านให้ถูกต้อง  เมื่ออ่านต้องให้ได้อารมณ์ตามเนื้อเรื่อง
          ๙.  ระมัดระวังการออกเสียงอักขระให้ชัดเจน  ไม่อ่านออกเสียงเลียนเสียงภาษาต่างประเทศ  ออกเสียงตัว  ร  ล  และคำควบกล้ำให้ชัดเจน  อ่านตามทำนองต้องพิจารณาด้วยว่าท้ายเสียงช่วงใดควรใช้เสียงสูง  ช่วงใดควรหลบเสียงต่ำ
          ๑๐. ศิลปะการใช้เสียง   ผู้อ่านจะต้องรู้จักการผ่อนเสียง  ทอดเสียง  หลบเสียง  เอื้อนเสียง  ครั่นเสียง  ครวญเสียง  กระแทกเสียง  ดังนี้
                   ๑๐.๑  การใช้ไมโครโฟน  ไม่จ่อปากชิดไมโครโฟนจนเกินไปจะทำให้เสียงไม่ไพเราะ  และได้ยินเสียงลมหายใจ  อาจทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ
                   ๑๐.๒  การใช้เสียง  ควรออกเสียงให้ดังพอเหมาะ  ไม่ตะโกน  หรือดัดเสียงจนไม่เป็นธรรมชาติ  รู้จักใช้จังหวะในการอ่านเหมาะสมกับอารมณ์ของเรื่องที่อ่าน  เช่น  เมื่ออ่านถึงการปลอบโยน   ต้องอ่านช้าๆ  เนิบๆ  เมื่อแสดงอารมณ์โกรธจะต้องอ่านอย่างรวดเร็วกระแทกกระทั้น  เมื่อเกิดอารมณ์อ่อนหวาน  วิงวอนงอนง้อต้องอ่านให้ช้าพอดี  น้ำเสียงละมุนละไม
                   ๑๐.๓  การทอดเสียง  เมื่ออ่านใกล้จะจบต้องอ่านทอดเสียงผ่อนจังหวะให้ช้าลง
                   ๑๐.๔  การหลบเสียง  คือการเปลี่ยนเสียงหรือหักเสียง  หลบจากเสียงสูงไปเสียงต่ำ เพื่อไม่ต้องออกเสียงที่สูงเกินไป
                   ๑๐.๕  การเอื้อนเสียง  คือการลากเสียงช้าๆ  และไว้หางเสียงเพื่อให้เข้าจังหวะและไพเราะ
                   ๑๐.๖  การครั่นเสียง  คือ  การทำเสียงให้สะดุดเมื่ออ่านถึงตอนที่สะเทือนอารมณ์
                   ๑๐.๗  การครวญเสียง  คือ  การเอื้อนเสียงให้เกิดความรู้สึกตามอารมณ์ของการคร่ำครวญ  รำพัน  วิงวอนหรือโศกเศร้า

                   ๑๐.๘  การกระแทกเสียง  คือการลงเสียงให้หนักเป็นพิเศษ  เมื่อต้องแสดงอารมณ์โกรธ  หรือแสดงความเข้มเข็ง

5 ความคิดเห็น:

  1. นางสาวกนกวรรณ ศรีวินัย ม.๕/๓ เลขที่ ๘

    ตอบลบ
  2. นางสาวชลิตา อิ่มเต็ม ม.๕/๓ เลขที่ ๑๖

    ตอบลบ
  3. นางสาวปิรัตดาพร สายทอง ชั้นม.5/3 เลขที่ 9

    ตอบลบ
  4. นางสาว สุกัญญา โคษาราช เลขที่10 ม.5/3

    ตอบลบ